วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2552

กรณีสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์

สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือสุรชัย แซ่ด่าน ถูกแจ้งความดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จากกรณีการปราศรัยที่เวทีสนามหลวงเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 51 โดยเรื่องนี้มีข่าวปรากฏครั้งแรกในวันที่ 10 มี.ค. 52 ทางรายการวิทยุ "แท็กซี่เรดิโอ" ซึ่งสุรชัยเป็นผู้ดำเนินรายการ

ทั้งนี้ สุรชัยได้เข้ารายงานตัวต่อพนักงานสอบสวนสน.ชนะสงครามเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 52 ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นัดไปให้ปากคำภายใน 30 วัน โดยไม่มีการควบคุมตัวแต่อย่างใด


รายละเอียด

10 มีนาคม 2552
ได้มีข้อมูลปรากฏในหลายเวบไซต์ รวมทั้งไทยอีนิวส์ ว่า เมื่อเวลาราว17.30 น. สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือสุรชัย แซ่ด่าน แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) รุ่นที่ 2 ได้กล่าวทางรายการวิทยุ "แท็กซี่เรดิโอ" ว่ามีผู้ไปแจ้งความให้ดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตน โดยระบุด้วยว่า ตนเป็นฝ่ายประชาธิปไตยรายล่าสุดที่ตกเป็นเหยื่อคดีนี้ แม้ว่านักวิชาการ ปัญญาชน และนักสิทธิมนุษยชนทั่วโลกกำลังรณรงค์เคลื่อนไหวให้ปฏิรูปกฎหมายหมิ่นฯ ไม่ให้นำมาเป็นเครื่องมือเล่นงานกันทางการเมืองก็ตาม

โดยสุรชัยได้ให้ข้อมูลว่า ผู้ที่แจ้งความดำเนินคดีได้อ้างว่าตนมีความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ 3ประเด็นคือ

ประเด็นที่ 1 กรณีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯมีพระราชดำรัสกับศาลปกครอง

ประเด็น ที่ 2 เพราะตนไปกล่าวตั้งคำถามว่า "ในหลวงหายไปไหนในวันที่ 4 ธันวาคม2551 ไม่เสด็จลงมหาสมาคม พระราชทานพระกระแสดำรัสแก่พสกนิกรชาวไทยตามปกติทุกปี"

ประเด็น ที่ 3 เพราะตนไปตั้งคำถามเรื่องการแต่งตั้งและโปรดเกล้าฯให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่าสภาแต่งตั้งตอนเช้า โปรดเกล้าฯตอนเย็น


ทั้งนี้ สุรชัยกล่าวว่า เรื่องที่ได้พูดว่าในหลวงหายไปไหนนั้น ก็เพราะเป็นพสกนิกร ก็มีความเป็นห่วงในหลวงกันทั้งสิ้น ในเมื่อทราบแต่ว่าทรงพระประชวร แต่ไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการจากสำนักพระราชวังอย่างเป็นทางการเหมือนทุกครั้ง และไม่ได้ประกาศให้พสกนิกรชาวไทยได้รับทราบเป็นระยะดังที่เคยทำมาทุกครั้ง พสกนิกรชาวไทยก็ต้องห่วงใยในพระองค์ท่าน

ส่วนเรื่องอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ตนกล่าวว่าได้รับแต่งตั้งจากสภาให้เป็นนายกรัฐมนตรีตอนเช้าแล้วได้รับโปรดเกล้าฯตอนเย็นนั้น ก็เพราะเห็นว่า ธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติอย่างก่อนมาไม่รวดเร็วอย่างนั้น ซึ่งตามปกติผู้นำเสนอทูลเกล้าคือประธานรัฐสภาปกติก็อาจใช้เวลาในการตรวจสอบระยะหนึ่งก่อนให้รอบคอบ เพื่อไม่ให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท

จากนั้นสุรชัยได้กล่าวกับผู้ฟังว่า "ประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยไม่ต้องเป็นห่วงผม ผมพร้อมเป็นกองหน้า พร้อมติดคุกตอนแก่" โดยๆได้พูดติดตลกด้วยว่า "สบายเสียอีก จะได้มีเวลาไปอ่านหนังสือในคุก อยู่นอกคุกนี่ลำบาก ต้องจัดวิทยุ ต้องไปขึ้นเวทีปราศรัย ต้องเดินสายไปพูดที่โน่นที่นี่ มันเหนื่อย"

อย่างไรก็ตาม สุรชัยได้กล่าวด้วยว่า ตนคงไม่ได้ติดคุกไวนัก เพราะเมื่อเจ้าหน้าที่ได้รับการแจ้งความดำเนินคดีแล้ว ก็คงต้องตรวจสอบสำนวนคดี "...กว่าอัยการจะส่งฟ้องก็คงจะนานไปปีหน้า 2553 โน่นแล้ว...ดูข้อหาใหญ่ แต่ดูสำนวนแล้วไม่น่าจะใหญ่มาก จากประสบการณ์ติดคุกมา 16 ปีนั้น ผมดูแล้วเป็นการเล่นงานทางการเมืองของรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่ต้องการสกัดทำลายฝ่ายประชาธิปไตย และเป็นภารกิจหลักของรัฐบาลชุดนี้ที่ต้องการทำลายฝ่ายเสื้อแดง และสื่อของฝ่ายเสื้อแดง"

12 มีนาคม 2552
รายงานข่าวในเวบไซต์ประชาไทระบุว่า ได้มีการสอบถามไปยังสุรชัย แซ่ด่าน เกี่ยวกับกรณีถูกแจ้งความในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งสุรชัยได้กล่าวยอมรับ และให้รายละเอียดว่าว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งผ่านมายังวีระ มุสิกพงศ์ และหลังจากนั้นตนก็ได้เข้าไปรายงานตัวต่อพนักงานสอบสวนสน.ชนะสงครามเมื่อวันที่ 10 มี.ค. ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าตำรวจที่ได้แจ้งข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จากกรณีการปราศรัยที่เวทีสนามหลวงเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.51 ซึ่งในขณะนี้ทางตำรวจเพียงแต่แจ้งข้อกล่าวหา และนัดไปให้ปากคำภายใน 30 วัน โดยไม่มีการควบคุมตัวแต่อย่างใด

3 ความคิดเห็น:

  1. ดิฉันชอบในความเป็นคนประชาธิปไตย 100%ของอ.สุรชัยและได้มีโอกาสคุยกับอาจารย์ยิ่งนับถือมาก สุดท้ายนี้ขอเป็นกำลังใจให้อาจารย์ผู้ซึ่งต่อสู้เพื่อความถูกต้องและยุติธรรมให้กับประชาชนผู้รักประชาธิปไตยแท้ และเป็นกำลังใจให้กับประชาชนในแผ่นดินนี้ที่รักความถูกต้องและยุติธรรมทุกคน

    ตอบลบ
  2. ขอเป็นกำลังให้ อ.สุรชัย ครับ เพื่อเป็นแรงใจให้ชาวเสื้อแดงสู้ต่อไป จนกว่าจะได้รับชัยชนะ ครับผม
    เสื้อแดงยโสธร

    ตอบลบ
  3. ท่านก้อายุเยอะแล้วน่าจะอยู่กับบ้านกับลูกกับหลานในบั้นปลายชีวิตที่สงบสุขดีกว่านะครับ

    ตอบลบ